เป็นโค้ชการเทรดให้ตัวเอง

เคยได้อ่านจิตวิทยาการลงทุน ก็ทางเน็ตแล้วชอบบทความ Part 5 : สิ่งสำคัญสุดในการโค้ชการเทรดให้ตัวเอง เคยแชร์พอนานไปลิงค์ ก็เสีย วันนี้เลยคัดลอกจากในเน็ต ตามเครดิตที่ให้ไว้ด้านล่าง เก็บไว้อ่านเองเป็นบันทึกฉบับนี้

-ต้นฉบับ Credit :  Dr.Brett N. Steenbarger / www.brettsteenbarger.com

🌞สิ่งสำคัญสุดในการโค้ชการเทรดให้ตัวเอง (จิตวิทยาการลงทุน)ล่าสุดผม(Dr. Bertt S.) ได้รับคำถามจากผู้อ่านมา ว่า “ผมไม่มีเงินมากพอที่จะจ้าง โค้ชการเทรด, ถ้าอยากจะโค้ชให้ตัวเอง ผมต้องทำอะไรบ้าง”
                เช่นเดียวกับ คำพูดเกี่ยวกับสุขภาพ ว่า “เราจะเป็นไปตามสิ่งที่เรากินเข้าไป”, ในเชิงจิตวิทยาก็เช่นกัน คือ ประสบการณ์ที่เราได้รับเข้าไปในจิตใจ จะหล่อหลอมตัวตนของเราขึ้นมาให้เป็นเรานั่นเอง
                ถ้าเรามีแต่ประสบการณ์ที่เลวร้าย ภายในจิตใจของเราจะเริ่มสร้าง การขาดความมั่นใจ และ ขาดแรงจูงใจ, ทางกลับกัน ถ้าเรามีประสบการณ์ที่ดี มันจะส่งเสริมให้เรามีมุมมองที่ดี ต่อทั้งเรื่องนั้นๆและต่อตัวเราเอง
             ถ้าเรามีแต่ประสบการณ์ที่เลวร้าย ภายในจิตใจของเราจะเริ่มสร้าง การขาดความมั่นใจ และ ขาดแรงจูงใจ, 
             ทางกลับกัน ถ้าเรามีประสบการณ์ที่ดี มันจะส่งเสริมให้เรามีมุมมองที่ดี ต่อทั้งเรื่องนั้นๆและต่อตัวเราเอง
                
           
 ถ้าอยากจะ ฝึกฝนการเทรดให้ตัวเอง, ก้าวที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างประสบการณ์ทีดี ในการเรียนให้แก่ตนเอง เพื่อให้มี แรงจูงใจ ความอยากทำต่อ และ ฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ, ดังนั้น ในการฝึกย่อยแต่ละขั้น เป้าหมายต้องไม่ยากเกินไป
              
             เราไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาดได้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถควบคุมได้ว่า การเทรดครั้งหนึ่งๆนั้นจะชนะเสมอไปหรือไม่, แต่เราสามารถที่จะควบคุมได้ว่าเราจะเทรดอย่างไรได้ นั่นคือ 1.จะเข้าอย่างไร 
2.จะเข้าด้วยขนาด(Volume) เท่าไหร่ 
3.จะออกอย่างไร และ 
4.จะจำกัดการขาดทุนอย่างไร, 
การมีเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเทรด  มากกว่าไปสนใจแค่ผลลัพธ์แพ้ชนะตอนปิดแต่ละออเดอร์
               
             
สิ่งสำคัญมากในการจะเป็นโค้ชการเทรดให้ตัวเอง ไม่แพ้การมีชุดเงื่อไข(ระบบ) คือ เป้าหมายแต่ละครั้ง ต้องอยู่ในระดับที่พอทำได้ และ ชัดเจน, เพื่อให้ตัวเราเองค่อยได้รับประสบการณ์เชิงบวกที่ดี เพื่อค่อยพัฒนาจิตวิทยาของเราให้ชื่นชอบการเทรด จะได้เดินหน้าฝึกเทรดต่อไปได้เรื่อยๆ
                 และในการฝึกแต่ละครั้ง ก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน, ถ้าฝึกโดยปราศจากเป้าหมาย ก็จะไม่มีความรู้สึกในการถึงเป้าหมาย ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดการสร้างความรู้สึกว่า เกิดทักษะ และ ความมั่นใจ ภายในจิตใจ 
ทุกๆ ขั้นของการฝึก จึงควรจะมีการวางเป้าหมายที่ แน่นอน ชัดเจน พอทำได้จริง และ มุ่งหน้าสู่ เป้าหมายใหญ่, ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของการฝึกเทรด คือ การเทรดได้ดี เช่นเดียวกับ นักกีฬาที่ต้องการจะเล่นกีฬาได้ดี ซึ่งรู้ล่วงหน้าได้เสมอ ว่า ถ้าคุณฝึกได้บ่อยและมากพอ คุณจะได้รับผลตอบแทนในส่วนนั้นๆอย่างแน่นอน
                ถ้าฝึกโดยมีทั้ง “เป้าหมายที่ชัดเจน” และ “เป้าหมายอยู่ในระดับที่พอทำได้” แล้วถ้าคุณก็ทำได้สำเร็จ, ก้าวต่อก้าว, คุณกำลังสร้าง ความรู้สึกเชิงบวก ในการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายสูงสุดของการเทรดนั่นเอง
            
 แปลโดย Rojer CmFX, www.ChiangMaiFX.com, ว่าด้วยเรื่องจิตวิทยาการลงทุน

เพื่อความสมบูรณ์ของบทความทั้งหมดจึงได้คัดลอกมาทั้งหมด6หัวข้อด้วยกัน☺
[Psycho] Part 1 : A Lesson in Trading Psychology

ย้อนกลับไปในปี 2004, ตอนผมเพิ่มเข้าบริษัทเทรดให
ม่ๆใน Chicago (Kingstree Trading, LLC, a proprietary trading firm) ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้เรียนรู้ และ “สังเกต” วิธีทำงานของ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน
มีอยู่บทเรียนหนึ่งที่โดดเด
่นมากในใจผม, เหตุการณ์คือ นักเทรดท่านหนึ่งเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาด(Note ผู้แปล : คิดว่าผู้แต่งคงตั้งใจไม่พูดถึงว่า Identity ของเทรดเดอร์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ), เขาโดดขึ้นเข้าออเดอร์ซื้อทันที ผมสังเกตจากปริมาณที่เขาซื้อก็พอบอกได้ว่า เขาเข้าซื้อเพราะเขาเห็นโอกาสที่จะ Break High สูง, แต่หลังจากเข้าซื้อแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้, ราคากลับย่ำอยู่กับที่ ไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วก็หักหัวลง, เทรดเดอร์ท่านนั้น โดดออกจากออเดอร์ทันทีโดยเสียไป 1 ช่องราคา
เขาหันมาบอกผมว่า “ฉันเพิ่งจ่ายค่าซื้อข้อมูล
ไป”
จากนั้นอีกหลายนาทีต่อมา ราคาเด้งขึ้นอีกครั้ง สูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ Volume นั้นน้อย ไม่มีผุ้เล่นรายใหญ่อยู่ฝั่
ง Long, เทรดเดอร์ท่านนั้นก็ Sell อย่างหนัก และ ได้กำไรมาหลายจุด อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้สอนไว้ว่า, ครั้งแรก เขาได้เข้าเทรด (ซึ่งเป็นการเข้าที่ดี) แต่ปรากฏว่าไม่ได้ดีอย่างที
่คาดไว้ เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นความเสียหาย ความล้มเหลว หรือ ภัยคุกคาม, เขามองว่าเป็นแค่การซื้อข้อมูล, ตลาดกำลังบอกเขาว่า ราคาคงไม่สามารถเอาชนะ High เดิมได้จริงๆ
เขาเข้าออเดอร์แรก และ ออกจากออเดอร์ แล้วใช้ออเดอร์ที่แพ้เล็กๆน
ั้น ในการเตรียมตัว เพื่อให้ได้มาซึ่ง ออเดอร์อันต่อมาซึ่งชนะ, นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่อง “จิตวิทยาการเทรด”
ถ้าการอ่าน “สัญญาณล่วงหน้า” (Set up) ของคุณนั้นถูกต้อง, ผลลัพธ์มันจะมีแค่ 2 ชนิด, 1.ออเดอร์ที่ทำกำไรให้คุณ และ 2.ออเดอร์ที่ให้ข้อมูลกับคุ
ณ (Note ผู้แปล : ผู้แต่งตั้งใจจะสื่อชัดๆว่า แม้ออเดอร์นั้นโดน Stop Loss ก็อย่าคิดว่าเป็นความพ่ายแพ้ เพราะเมื่อเราเข้าตามระบบแล้วยังโดน Stop Loss, ถือว่าเป็นการแพ้ในระบบ ซึ่งจะเป็นการให้ข้อมุลที่เป็นประโยชน์แก่เราในภายภาคหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประเมินตลาดอย่างที่เห็นในบทความนี้ หรือ การจะเอาข้อมูลนั้นมาปรับปรุงระบบต่อไป)



[Psycho] Part 2 : Accepting the Obvious (ยอมรับสิ่งที่เห็นชัดๆ)
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับอีเมล์ที่มีคำถาม ที่ทำให้คิดถึงมุมมองเก่าๆข
องผม, เนื้อหาคือ ทำไมมีเทรดเดอร์ ต่อต้าน การ break out หรือ เทรดสวนเทรน แม้ว่ามันเห็นชัดมาก ? บางครั้งผมเห็น เทรดเดอร์ ปฏิเสธที่จะเข้าออเดอร์ ตอนที่ทะลุ Low เดิม เพียงเพราะว่า “ฉันไม่อยากจะขายที่ Low”, ที่แย่กว่านั้นคือ เทรดเดอร์ทื่ถือออเดอร์ที่ต้านเทรนอยู่ เพราะพยายามเชื่อว่า “มันจะต้องกลับมา” หรือ “ตลาดกำลังถูกปั่นจากเจ้า”
งานนี้ต้องย้อนกลับไปถึงพื้
นฐานการเทรด
Volume จะบอกคุณว่า เทรดเดอร์และ นักลงทุน กำลังยอมรับราคา ณ เวลานั้นๆ, ถ้าตลาดตลาดกำลังเทรดอยู่ใน
ช่วงราคาแคบๆมาระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นทะลุขอบบนของช่วงราคาไป ด้วย Volume มากๆ, มันหมายถึงว่า ตลาดได้ยอมรับราคาที่สูงขึ้นเรียบร้อย, สมมุติว่า คุณเป็นเจ้าของชิ้นงานศิลปะ ในงานประมูล พอเริ่มประมูลก็พบว่า มีผู้ประมูลจำนวนมาก เสนอราคาประมูลสูงๆ และเสนออย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน, ณ ตอนนั้น ที่คนกลังเริ่มรุมประมูล คุณควรเข้าใจว่า ชิ้นงานศิลปะของคุณ ยังไม่ถึงราคาขายที่ดีที่สุด ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า คุณไม่ควรจะขายงานศิลปะของคุณให้กับ กลุ่มผู้ประมูลกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มแข่งกันอย่างดุเดือด ที่ราคาเริ่มต้น !
ตลาดก็ดำเนินในลักษณะเดียวก
ัน บนพื้นฐานของการประมูล Bid-Offer, (ดู หนังสือ Mind Over Markets , หนังสือที่ยอดเยี่ยมของ Jim Dalton และ ผู้แต่งอื่นๆ สำหรับการพูดถึงเรื่อง ทฤษฏี การประมูล และ ใช้ประโยชน์จาก สภาพตลาด) ในแต่ละวัน, เราได้เห็นการประมูลเหมือนงานศิลปะ ในตลาด S&P, NASDAQ, พันธบัตร, ฯลฯ
การเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดห
ย่อนระหว่าง คนซื้อ กับ คนขาย เป็นสิ่งกำหนดราคาของตลาด, เมื่อเราเห็น Volume ขยายออกพร้อมๆกับเมื่อราคาวิ่ง เมื่อนั้นเราก็ควรจะหนักว่า ตลาดไม่สมดุลอีกต่อไป มันจะวิ่งไปในทิศนั้นๆ จนกว่ามันจะได้แรงที่สมดุลระหว่า แรงซื้อกับแรงขาย ที่ราคาใหม่จึงจะหยุดลงได้
บางครั้ง ผมลองถามเทรดเดอร์ว่า ตอน Break out นั้น เกิดอะไรขึ้นกับ Volume ? บ่อยมากที่ผมจะได้รับคำตอบว
่า “ไม่รู้” เพราะ เทรดเดอร์นั้นสนใจแต่กับราคา และ ความอยากเข้าทำต่อการวิ่งของราคา จึงทำให้พลาดความสำคัญของ พื้นฐานเรื่องการประมูลไป
มันมีกฎอันหนึ่งที่กล่าวถึง
กัน คือ เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ในตลาด เทรดเดอร์ที่ดี จะสนใจต่อตลาด และ ความหมายของเหตุการณ์, ส่วนเทรดเดอร์ที่แย่ จะสนใจตัวเขาเอง และ ความหงุดหงิดจากการพลาดเหตุการณ์นั้น แล้วมัวแต่คิดว่า จะเอาคืนได้อย่างไรเป็นต้น, ผมเคยเห็นแม้แต่การพลาดเทรนชัดๆทั้งวัน เพียงเพราะพวกเขามัวแต่ยึดติดว่า ได้พลาดการเล่น Break out ตอนแรกไป
นอกจากนี้ ก็ยังมีอีกเหตุผล จะทำให้พลาด การเคลื่อนไหวที่เห็นชัดๆ, จะยกตัวอย่างสักสามอันที่เก
ี่ยวข้องกันให้ดู ว่า “การปฏิเสธที่จะยอมรับ สิ่งที่เห็นชัดๆ”
1.ผู้หญิงคนหนึ่งไปหาที่ปรึ
กษา เรื่องปัญหาครอบครัว, หล่อนเล่าว่า สามีกลับบ้านดึกตลอด ไม่ใช้เวลาร่วมกับเธอ บอกว่าทำงานบริษัทดึก แต่เวลาโทรไปบริษัทเขาไม่เคยอยู่ที่นั่น, มีครั้งหนึ่งเขาพบของใช้ผู้หญิงในรถ เมื่อถามสามี เขาก็ตอบว่าเป็นของภรรยานั่แนหละที่ลืมทิ้งไว้นานแล้ว, ที่ปรึกษาเลยบอกว่า สามีคงจะมีหญิงอื่น ผู้หญิงคนนั้นได้ยินแล้ว โกรธมาก และต่อว่าที่ปรึกษาว่า หล่อนมาเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย ไม่ใช่มาทำลาย, หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ สามีก็ย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่
2.คนไข้มะเร็งระยะสุดท้ายคน
หนึ่ง วันหนึ่งอาการแย่ลงกะทันหัน, ผลการตรวจแลป ชี้ว่ามะเร็งระยะสุดท้ายได้ลุกลามไปทั่วร่างกาย, หมอได้นัดพูดคุยกับครอบครัว เรื่อง การบรรเทาความเจ็บระยะสุดท้าย ด้วยการปล่อยผู้ป่วยให้ไปด้วยดี ครอบครัวผู้ป่วยโมโหมาก และยืนยันให้ใช้การรักษาที่เข้มข้นขึ้นอีก เพื่อที่ผุ้ป่วยจะได้กลับบ้านและทำงานต่อได้, ขณะที่กำลังพูดกันนั้น ผุ้ป่วยไม่สามารถถืออะไรได้ แม้แต่อาหารที่จะเข้าปาก เพราะร่างกายซูบผอมจัด ติดกระดู และ คนนอกเห็นได้ชัดมากว่า กำลังทรมาน
3.ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกทารุ
ณกรรมทางเพศในวัยเด็กโดยพ่อของหล่อนเอง ได้ยืนยันว่า พ่อของหล่อนดูแล ห่วงใย และ พยายามทำให้หล่อนเจ็บปวดน้อยที่สุดในวัยเด็ก, ซึ่งขัดกับหลักฐานว่าหล่อนถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกทุบตี และ ถูกทำให้อับอายขายหน้าบ่อยๆ, หล่อนยืนยันว่า คนที่ผิดคือหล่อน ที่ทำให้พ่อไม่พอใจบ่อยๆ และ ไม่ยอมรับคำว่า ทารุณ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, หล่อนอยู่ในภาวะหดหู่มาตลอดถึงทุกวันนี้ แต่ก็ยังพยายามติดต่อพ่อซึ่งปฏิเสธโทรศัพท์มาตลอด
ทั้งสามกรณีที่ยกมา ความยากในการยอมรับสิ่งที่เ
ห็นชัดๆ เป็นผลมาจาก “ความต้องการเชื่อ” ที่จะเชื่อในสิ่งที่แตกต่างออกไป, ปัญหาไม่ใช่แค่ ตาบอดจากโลกความเป็นจริง แต่หนักกว่านั้นคือ ความต้องการที่จะมีโลกที่แตกต่างจากความเป็นจริง, กลับมาที่การเทรด, ถ้าเทรดเดอร์พลาดที่จะเข้าตอน Breakout (หรือเลวร้ายกว่านั้นคือ อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกำลังเจ็บหนัก) เทรดเดอร์จะอยู่ในภาวะที่ต้องการตลาดที่แตกต่างจากความจริง, และเมื่อความต้องการนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ตลาด มันก็เริ่มกลายเป็นความเห็นของพวกเขา และ เมื่ออีโก้(ความทรนงค์ในตนเอง) เข้าครอบงำแล้วก็จะกลายเป็นภาวะที่มีชื่อเฉพาะที่เรียกกันว่าภาวะ “แต่งงานกับความเห็นของตัวเอง”
วิธีที่ผมพบว่ามีประโยชน์คื
อ การสร้างแผน “ถ้าเกิดว่า...” ซึ่งจะช่วยเตรียมการไว้ให้กับสภาวะจิตของเราอย่างชัดเจน, สมมุติ เรากำลังจะเล่นแค่เด้งในกรอบราคาจำกัด ให้คิดล่วงหน้าไว้เลยว่า “ถ้าเกิดว่า”ราคา ทะลุเส้นขอบเขตการเด้งของเราออกมา ด้วย Volume, เราจะรับมืออย่างไร ? ถ้าหุ้นขนาดกลางทะลุเส้นออกมาเหนือช่วงขอบเขต แม้ว่าตลาดโดยรวมจะยังเด้งในขอบเขตละ ? เราจะทำอย่างไร, “ถ้าเกิดว่า”ราคาไปทดสอบ High แต่ว่า Volume ไม่มีละ? พวกแผน “ถ้าเกิดว่า…” เหล่านี้จะป้องกันเทรดเดอร์จากการถูกดักอยู่ในความคิดของเขา เอง ซึ่งจะกลายเป็นความเห็น และ การแต่งงานกับความเห็น, “วางแผนเทรดแล้ว เทรดตามแผน” คือวิธีหลักที่ดี แต่เทรดเดอร์ที่ดี ย่อมจะมีแผนสำรองเสมอ
ท้ายสุด, ลองพิจารณาสถานการณ์ตรงกันข
้าม, เมื่อเทรดเดอร์อยากจะเชื่อว่า การ Break out กำลังจะเกิด แต่ตลาด อยู่ในสภาพ Sideway, ราคาเด้งไปเด้งมาอยู่ในกรอบเดิม, “คามต้องการเชื่อ” อาจจะทำงานอีกครั้งตรงนี้, เทรดเดอร์ที่เข้าออเดอร์โดยหวัง Break out เอาไว้ ยอมรับความจริงไม่ได้ว่า ตลาดเจอราคาที่สมดุลและย่ำอยู่ตรงนี้, Volume น้อยๆ สามารถบอกอะไรกับเราอย่างชัดเจน ได้ดีพอๆกับ Volume มากๆ หากคุณเปิดใจรับฟังมัน, ตลาดที่มีปริมาณ Volume น้อยๆ ไม่สามารถดึงดูดผู้เล่นจาก Time Frame อื่นๆได้ จึงขับเคลื่อนด้วย กำลังจากเฉพาะผู้เล่นเดิมๆ, ซึ่งถ้าเราไปคาดการณ์ Break out ก็จะสามารถ overtrade ง่ายมาก หากไม่รอหลักฐานที่เพียงพอ, ลางบอกเหตุสำหรับเรื่องนี้คือ เทรดเดอร์เริ่มบ่นกันว่า “ตลาดจะไม่ขยับเลยใช่ไหม”, พวกเขาหงุดหงิด เพราะพวกเขากำลังขัดขืน และพยายามต่อสู้กับตลาด แทนที่จะก้าวตามสิ่งที่ตลาดทำ (Note ผุ้แปล : หมายความว่า ถ้าตลาดเป็น Sideway เราก็ควรจะเล่นโหมด Sideway คือเล่นเด้ง ไม่ใช่หวังเล่น Break out)
เป็นจริงตามที่เขากล่าวกันว
่า ปัญหาส่วนมากจะหาทางออกด้วย การหนีความจริง เมื่อความต้องการเชื่อของเรา ขัดกับ โลกความเป็นจริง
ขอบคุณ Bob Kieffer (www.r7.com) and Bill Duryea (www.marketshaman.com) ในการเป็นแรงบันดาลใจให้เกิ
ดบทความนี้ จากการสังเกตอันยอดเยี่ยมของพวกเขา



[Psycho] Part 3 : สิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์หน้าใหม่ ประสบความสำเร็จ (Training New Traders: What Makes for Success)
ในวงการเทรดเป็นที่เข้าใจแล
ะยอมรับกันอย่างเอกฉันท์ว่า ยิ่งนานวัน ตลาดยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ, ทำให้จะหาทางทำกำไรจากช่องว่างเล็กๆน้อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ, ความท้าทายของตลาดก็มากขึ้นเรื่อยๆ และ เริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยมากขึ้นเรื่อยๆ, จะเห็นได้ว่า มีคนจำนวนหลายพันคน ที่พยายามแข
่งขันจริงจัง เพื่อเอาชนะการเทรดในระดับที่เลี้ยงดูครอบครัวได้ คุณต้องตระหนักว่า การเทรดเองก็ไม่แตกต่างจาก การแสดง หรือ การแข่งขันกีฬา : มีคนถูกเรียกเข้ามาทดสอบจำนวนมาก, แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ
เพราะผม (ผู้แต่ง Dr.Brett S.) เป็นผู้บริหารของ โปรแกรมฝึกเทรดเดอร์หน้าใหม
่ของ บริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ในชิคาโก, ผมจึงมีทั้งข้อมูล และ ประสบการณ์เกี่ยวกับ ความสำเร็จและความล้มเหลวของเทรดเดอร์หน้าใหม่ๆเหล่านั้น
ผมดูแลโปรแกรม Internship ของ Kingstree Trading LCC. จึงถูกถามบ่อยๆว่าผมมองหาอะ
ไรจากผู้สมัครเป็นเทรดเดอร์, สิ่งที่ผมมักจะถามผู้สมัครคือ “คุณมีคุณสมบัติที่ดีอะไรบ้าง” ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่า คำตอบมักจะเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของ “แรงจูงใจ” (motivation) แต่ผู้ตอบจะทำสิ่งเหล่านั้นที่ตอบออกมาได้จริงตอนเข้าโปรแกรม หรือ การเทรดจริงได้หรือเปล่านี่อีกเรื่อง
แรงจูงใจ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำ
เร็จ, แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ, มันยังมีสิ่งอื่นที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จในการเทรด เช่นเดียวกับนักกีฬา, นักแข่งหมากรุก หรือ นักแสดง, คงไม่มีใครบอกว่าเขาควรจะได้เข้าทีม บาส Chicago Bulls หรือ ร่วมแสดงกับ Joffrey Ballet เพียงเพราะเขามีแรงจูงใจมากพอ, เทียบเคียงดังนี้แล้ว เพียงแค่ “แรงจูงใจ” ย่อมจะไม่เพียงพอสำหรับการเ
ป็นเทรดเดอร์ที่ดีแน่ๆ
ที่ น่าสนใจมากคือ “แรงจูงใจ” ที่เกิด มักจะเป็นเพียงแค่ความอยาก “ประสบความสำเร็จ” ไม่ใช่ ความอยาก “ทำให้ประสบความสำเร็จ”, มีเทรดเดอร์จำนวนมากที่บอกว
่า พวกเขามีแรงจูงใจมากกับการเทรด แต่เมื่อถึงเวลาตลาดปิดปุ๊บ ก็ออกจากบริษัทหลักทรัพย์ปั๊บ ไม่เคยเห็นความพยายามของพวกเขาในการศึกษาตลาด นอกเวลาทำงานเลย, รวมทั้งใช้ความพยายามน้อยมากในการศึกษาการเทรดของตัวเอง, เมื่อเทรดเดอร์เหล่านี้จำเป็นต้องบันทึกการเทรดตามหน้าที่ ก็จะเห็นแต่ข้อความทำนองว่า “ต้องมีวินัยมากกว่านี้” โดยไม่เขียนระบุว่า วินัยแบบไหน อะไรที่ทำผิดวินัยลงไป ทำไมถึงผิดวินัย จะไม่ให้ผิดวินัยในอนาคตได้อย่างไร การกระทำไหนที่จะป้องกันการผิดวินัย จะติดตามการแก้ปัญหาเรื่องวินัยอย่างไร ? คำถามทั้งหมดนี้ไม่เคยได้รับการตอบ เพราะการจะตอบนี้เป็นงานเต็มๆ และ เป็นงานหนักซะด้วย, แค่ความอยากไม่ใช่แรงจูงใจ, แรงจูงใจควรจะวัดจากการแสดงความพยายามออกมา ไม่ใช่แค่ความอยากหรือความหวัง ที่ปราศจากการลงมือทำ
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็
จจำนวนมากที่ผมรู้จัก พวกเขาเริ่มต้นจากการทบทวนการเทรดของพวกเขาอย่างจริงจังหลังจากจบการเทรดแต่ละช่วง, นอกเวลางาน พวกเขาก็จะศึกษาการเทรดของพวก เขา ทบทวนการเคลื่อนไหวของตลาด ทบทวนการตัดสินใจของพวกเขา ระหว่างการศึกษา พวกเขาจะทำการบันทึกด้วย และเน้นจุดสำคัญที่ทำถูก และ ทำผิด, จากการบันทึกเหล่านี้ พวกเขาได้พัฒนาสิ่งพิเศษที่พวกเขาเห็นและเข้าใจตลาด(ระบบ)ขึ้นมา, การทบทวนเหล่านี้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งหยาดเหงื่อแรงงานเหล่านี้ จะทำให้เทรดเดอร์มีการเตรียมตัวที่ดีกว่าเทรดเดอร์คนอื่น, เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆเดือน ความพยายามที่สะสมมาทุกวันพวกนี้จะทำให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างที่เลี่ยงไม่ได้คือ พวกเขาจะมีประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับมุมมองของตลาดมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญกว่าคือ การได้สัมผัสกับระบบของตัวเอง จนเข้าใจถ่องแท้, ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัท Kingstree มองหามากกว่าเทรดเดอร์ที่พูดลอยๆว่า “ผมมีแรงจูงใจ”

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า พวกเราอยู่ในยุคที่ต้องพัฒน
าศักยภาพของเทรดเดอร์โดยการ
พัฒนา “เป้าหมาย” โดยการวางแผนระยะยาว มากกว่า “ผลลัพธ์”เฉพาะหน้า เช่น รายงานของตัวเอง และ สรุปผลลัพธ์การเทรด P/L ง่ายๆ, เพราะตลาดนับวันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทหลักทรัพย์จึงต้องหาทางสกัดเอาคุณค่าที่ซ่อนอยู่ลึกไปไกลกว่า “แรงจูงใจ” นั่นคือ “aptitudes” (Note ผู้แปล: คำนี้เป็นคำที่แปลยากที่สุดหนึ่ง คำ แปลได้ใกล้สุดคือ ความรู้สึก ชื่นชอบ ที่มีต่อสิ่งนั้นๆ) ในบริษัท Kingstree เรามีการฝึก intern โดยให้มี mentor (พี่เลี้ยง) กำกับโดยตรง, มีการเก็บสถิติในแต่ละช่วงการเทรด และจะมีการให้คำแนะนำในสภาวะตลาด จริง, จากนั้นจะส่งเสริมให้ Advance-Intern ทดลองกลยุทธ์ต่างๆ และ จะช่วยชี้จุดแข็ง จุดอ่อนของพวกเขา, เราเชื่อว่า การขัดเกลาด้วยวิธีนี้จะทำให้เร่งกระบวนการเรียนรู้ได้ดี และ ลดเวลาในการเดินทางกว่าจะเป็น “พอร์ตเขียว” ของเทรดเดอร์ใหม่ๆได้

บริษัทหลักทรัพย์มักจะพูดว่
า พวกเขามองหาเทรดเดอร์และแรงจูงใจ, แต่คำพูดนี้เป็น ดาบสองคม, ตัวบริษัทแม้มี “แรงจูงใจ” ในการอยากได้เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ แต่อาจจะแสดง “ความพยายาม” ในการพัฒนาตัวเทรดเดอร์ไม่เพียงพอ, เวลา แรงงาน การสอน การประกบ การเก็บข้อมูลอย่างละเอียดเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ถ้าต้องการพัฒนาศักยภาพของเทรดเดอร์ เช่นเดียวกับ กีฬา หรือ การแสดง, โค้ชหรือครูสอน ต้องฝึกร่วมกับ นักกีฬา/นัก แสดง อย่างหนัก ทุกวัน, ลองคิดดูว่า ถ้าบริษัทต้องให้ mentor มาประกบเทรดเดอร์ใหม่ เพื่อสอนทุกวัน ตัว mentor คงไม่มีเวลาเทรดเต็มที่ ซึ่งหมายถึงรายได้ที่ลดลง, การที่บริษัทรับภาระชดเชยรายได้ให้ mentor นี่เป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเท อย่างมาก, ถ้าบริษัทไหนที่ พัฒนาเทรดเดอร์ใหม่ โดยการให้ mentor แนะนำไม่กี่คำหลังการเทรด เพราะ mentor ต้องเทรดของตัวเองเต็มที่แล้ว คงต้องพิจารณาถึงคำว่า “แรงจูงใจ” ของบริษัทหลักทรัพย์เช่นกัน
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็
จ มีบางอย่างที่เหนือกว่าเทรดเดอร์อื่นๆนับพัน ในตลาดการแข่งขันนี้, อะไรคือ บางอย่างที่ว่านั้น ? ถึงตรงนี้คุณน่าจะพอเห็นภาพแล้ว ว่า “ความชื่นชอบในสิ่งนั้น” (Passion), “แรงจูงใจ” (Motivation), “แรงปรารถนา” (Desire) และ “ทำงานหนัก” (Hard work) คือ สิ่งที่ต้องมี และ สุดท้ายแล้ว จำเป็นที่จะต้องแปลงสิ่งเหล่านั้นออกมาเป็น “ทักษะ” ด้วยการฝึกฝน, ให้อ่านเรื่องราวของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ สังเกต หรือ ถ้ามีโอกาสก็ สอบถาม เทรดเดอร์เหล่านั้นว่าอะไรคือทักษะสำคัญเหล่านั้น แล้ว ฝึกฝนเลียนแบบทักษะเหล่านั้น, แล้วคอยถามตัวเองอย่างตรงๆว่า มีทักษะเหล่านั้นหรือยัง, ถ้ามีแล้ว ให้พัฒนาแผนที่จะรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ให้ได้ นี่แหละคือ สิ่งที่จะทำให้การเทรดประสบความสำเร็จ ! 


[Psycho] Part 4 : การฝึกซ้ำๆ เพื่อให้เกิดทักษะ
----------ต้นฉบับ Credit : Dr.Brett N. Steenbarger / www.brettsteenbarger.com---------
----------Image Credit : google.com, keyword : Sandy Koufax ---------

เพราะผม (Dr.Brett) เป็นทั้งนักจิตวิทยาและเป็น
เทรดเดอร์, ผมจึงเป็นทั้ง โค้ช และ ลูกศิษย์สำหรับการฝึกเทรดให้ตัวเอง, งานที่ต้องทำหลักๆเลย คือ การเอาความรู้ที่มีอยู่แล้วมาใช้จริง, รับมือเรื่องอารม

ณ์, ปรับรูปแบบนิสัย และ เรื่องวินัยที่ดีอื่นๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้เอง ที่แยกระหว่าง นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ กับนักกีฬาธรรมดา
มีงานวิจัยจำนวนมาก ที่ค้นคว้าไว้เกี่ยวกับเรื่
อง จิตวิทยาของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในสาขา ศิลปะ, วิทยาศาสตร์, กีฬา และ การเมือง. Dean Keith Simonton นักจิตวิทยาจาก Univ. of California และ K. Anders Ericsson นักจิตวิทยาจาก Florida State Univ. เป็นสองท่านที่มีผลงานด้านนี้อย่าง โดดเด่น, ทั้งสองได้ชี้ไว้ว่า ความสำเร็จขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นในสาขาวิชาใด ล้วนเป็นผลมาจาก ความต่อเนื่อง, ความจริงจัง และ การฝึกฝนอย่างทุ่มเท ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นทักษะขั้นสูงฝังลึกเข้าไปในตัวบุคคล จนกระทั้งเมื่อถึงจุดหนึ่งจะทำได้อย่าง “อัตโนมัติ” (Note ผู้แปล : สำหรับเทรดเดอร์ ผมเคยพูดถึงเทรดเดอร์ขั้นสูงสุด ที่เรียกว่า Auto Pilot ไว้ในวีดีโอเผยแพร่เกี่ยวกับ “ระดับของเทรดเดอร์และวิธีพัฒนา”* ของผม)
มีบทความอันหนึ่ง ได้กล่าวถึง นักเบสบอลในตำนาน Sandy Koufax (ตำแหน่งคนขว้างลูก), Koufax ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า สิ่งที่ดีกว่าการพยายาม นั่งหาว่าอะไรคือตัวแปรในกา
รขว้าง ที่ดี คือ การซ้อมขว้างซ้ำๆไปเลย, การฝึกซ้ำ คือ กุญแจสำคัญสำหรับ การซ้อมกอล์ฟ หรือ ฝึกตีลูกเบสบอล, นักขว้างเบสบอล อยากขว้างให้ได้เหมือนเดิมเป๊ะ ทุกครั้งที่ต้องการ. Jane Leavy, ผู้แต่งหนังสือ ชีวประวัติ Koufax ได้เขียนไว้ว่า สี่งที่ยากที่สุดสำหรับนักกีฬาไม่ใช่ การทำให้ผลงานได้ดีหนึ่งครั้ง แค่เป็นการทำผลงานดีให้ได้ซ้ำๆ
ย้อนกลับมาที่การเทรดของผมเ
อง, ผมสามารถทำซ้ำในระดับที่น่าพอ ใจ โดยการพัฒนา “ชุดเงื่อนไข” ที่กำหนด การเข้า ออก และ ขนาดของออเดอร์ (Note ผู้แปล : เรื่องนี้ ผมบังเอิญคิดเหมือนผู้แต่ง โดยผมมักจะอธิบายเวลาว่า “ระบบเทรด” คือ “ชุดเงื่อนไช”ในการเข้า-ออก ออเดอร์), ชุดเงื่อนไข เหล่านี้ส่วนใหญ่ มาจากการค้นคว้าของผมในเรื่อง คุณภาพของเทรน, ผมต้องการจะเข้าเมื่อ ตลาดเริ่มมีทิศทาง และ ความเป็นเทรนเริ่มมากขึ้น จากนั้นก็ออกตอนที่เทรนเริ่มหมดลง, และ มีสามารถเข้าออเดอร์เพิ่มได้อีก ถ้า เทรนระยะสั้น กับ ระยะกลางเริ่มชี้ไปทางเดียวกัน
เพื่อบังคับให้ตัวเอง อยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้, ผมได้เขียน webblog ประจำวัน, ซึ่งก็คือบันทึกประจำวันออน
ไลน์ ที่ผมตั้งใจจะใช้ติดตาม การประเมินเทรน, สถานะของเทรน และ วางแผนการเทรดสำหรับวันต่อไป, Blog บังคับให้ผมโฟกัสอยู่กับ พื้นฐาน และ กำจัด “ตัวแปร” ที่ไม่จำเป็นออกจากการเทรดของผม, นั่นก็คือช่วยลด การคิดมากเกินควร และ การขัดแย้งกันเองภายในใจของผมระหว่างเทรด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการเข้า-ออก ออเดอร์ (Note ผู้แปล : เข้าใจว่าการเขียนช่วยอย่างที่ ผู้แต่งบอกได้ เพราะเวลาเขียนบทความ เราจะต้องไม่ฟุ้มเฟ้อ พูดแตกประเด็นมั่วไปเรื่อย จำเป็นต้องโฟกัสว่า เรากำลังพูดประเด็นอะไรอยู่ จึงทำให้เราโฟกัสอยู่กับหัวข้อหลักได้) และมันเป็นเครื่องมือที่ไม่เลวเลยสำหรับการประจานตัวเอง เพราะเป็นการประกาศความผิดพลาดของผมสู่สาธารณะด้วย

[Psycho] Part 5 : สิ่งสำคัญสุดในการโค้ชการเทรดให้ตัวเอง

[Psycho] Part 6 : คำถามสำคัญที่จะช่วยให้หลุดจากภาวะการเทรดตกต่ำ
  ฤดูมรสุมเกิดขึ้นทุกปี, ภาวะตกต่ำในชีวิตก็จะเกิดกับทุกคน ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่การเทรด
 ตามวิชาสถิติ, เทรดเดอร์ที่มี win rate  60% จะมีโอกาส 2.5% ที่จะเกิดภาวะแพ้ติดต่อกัน 4 ครั้งรวด, แม้ว่าจะดูเหมือนโอกาส 2.5% นั้นไม่เยอะ แต่ด้วยโอกาสความน่าจะเป็น ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่เทรดนานๆ เมื่อปริมาณ ออเดอร์เยอะพอ เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดแน่, และเมื่อเทรดเดอร์เผชิญกับภาวะแพ้ติดต่อกันแบบนั้น มักจะตีความกันว่า อยู่ในภาวะ “ตกต่ำ”
                เทรดเดอร์บางคน ถึงกับกลัวภาวะตกต่ำนี้ เพราะเคยเห็นเทรดเดอร์คนอื่นในภาวะที่น่ากลัวนี้ พอร์ตติดลบหนัก หรือ แม้แต่โดนไล่ออกจากอาชีพเทรดเดอร์, จึงทำให้คอยกังวลว่าผลงานตัวเองสักวันจะแย่ ซึ่งยิ่งทำให้คำทำนายว่า “เทรดเดอร์ทุกคนจะมีช่วงที่ตำต่ำ” เป็นจริงง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
                เมื่อเทรดเดอร์อยู่ในภาวะตำต่ำ คำถามแรกที่จะผุดขึ้นมาในใจคือ “ฉันทำอะไรผิด” ซึ่งคำถามนี้แม้เกิดจากความตั้งใจที่ดีในการแก้ปัญหา คือ พยายามหาที่มาของปัญหา แต่บางครั้ง คำถามว่า “ทำอะไรผิด” นี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาที่แท้จริง, จิตใจของเทรดเดอร์นั้น ไปยึดติดกับคำว่า “ปัญหา” มากเกินไป จนลืมคิดถึง “ความแข็งแกร่ง” ของตัวเองที่เป็นตัวนำพาพวกเขามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จตรงนั้น
                เพราะเหตุผลนี้ คำถามที่สำคัญที่สุดในภาวะตกต่ำคือ “อะไรคือสิ่งที่ฉันทำได้ดี” “อะไรคือจุดแข็งของฉันที่คนอื่นไม่มี” หรือ “อะไรคือสิ่งที่นำพาฉันให้ก้าวหน้ามาถึงตรงนี้ได้”
                แบบเดียวกับที่เห็น เทรดเดอร์ที่กำลังชนะติดต่อกันเยอะๆ จะเริ่มเล่นนอกเกมที่ถนัดของพวกเขา, เมื่อเทรดเดอร์แพ้ติดต่อกันเยอะๆ ก็จะเริ่มมีปัญหากับการตัดสินใจ และ จิตวิทยาพื้นฐาน, วิธีแก้ที่ถูกต้องสำหรับทั้งสองกรณี (ทั้งชนะเยอะ และ แพ้เยอะ จนออกนอกเส้นทาง) คือ ให้โฟกัสไปที่การพัฒนา และ ย้อนกลับไปที่พื้นฐาน, ให้ย้อนกลับมาใช้ “ความแข็งแกร่งเฉพาะตัว” ของคุณ เมื่อคุณกำลังรู้สึกผิดปกติ, ด้วยวิธีนี้คุณจะหลีกเลี่ยงได้ทั้ง มั่นใจเกินไป และ ขาดความมั่นใจ ซึ่งเกิดจากการชนะหรือแพ้ติดต่อกัน ที่เป็นผลมาจากโอกาสความน่าจะเป็นล้วนๆ
                นี่เป็นตัวอย่างคำถามที่จะช่วยให้เราโฟกัสอยู่บนความแข็งแกร่งเฉพาะตัวของเราได้
-          ตลาดไหนที่เราเทรดแล้วประสบความสำเร็จ
-          Time Frame ไหน (รวมถึงระยะเวลาที่ถือนานแค่ไหน) ที่ประสบความสำเร็จ
-          ช่วงเวลาไหน ในหนึ่งวัน ที่รู้สึกว่าชนะบ่อยสุด
-          สัญญาณและแผนการเทรดไหนที่ใช้แล้วชนะบ่อยที่สุด
-          เล่นสั้นกับเล่นยาว อันไหนทำให้กำไรดีกว่ากัน สำหรับคุณ
-          ขนาดของออเดอร์ และ Stop Loss แบบไหนที่เข้ากับคุณที่สุด
-          การเตรียมตัวแบบไหน ที่คุณจะทำตอนที่อยู่ในภาวะที่พร้อมที่สุด
-          ในภาวะที่คุณเทรดได้ดี คุณรับมือกับการแพ้อย่างไร
แนวคิดหลักคือให้รับมือกับภาวะตกต่ำนี้ โดยการกลับมาเล่นในเกมที่คุณทำได้ดี ซึ่งมายความว่า คุณจะต้องคอยเก็บสถิติมาตลอดอายุการเทรดของคุณ และ ระหว่างทางต้องคอยตรวจสอบ เพื่อระบุว่า ภาวะไหนจะส่งเสริม ความเจิดจรัส ของคุณได้ดีที่สุด, ซึ่งความเจิดจรัสนี้ จะเกิดจาก พรสวรรค์ ทักษะ ความสนใจ และ โอกาส ของคุณเอง
มันยากที่จะอยู่ในวินัย และ ขยันต่อไปอย่าเคย เมื่อทุกอย่างในชีวิตไปได้สวยและง่ายไปหมด, ทางกลับกัน มันก็ยากที่จะโฟกัส “วิธีแก้ปัญหา” เมื่อเกิดปัญหา, ถ้าคุณเอาแต่ถามคำถามว่า “ปัญหาเกิดจากอะไร” ก็จะทำให้จิตวิทยาของคุณโฟกัสผิดที่ และทำให้แก้ปัญหาหนักขึ้นไปอีก
ภาวะตกต่ำ นั้นจะอยู่แค่ชั่วคราว ถ้าคุณไม่ลืม “จุดแข็งที่ดีที่สุดของคุณ” และ ยืนหยัดฝ่าฟันร่วมกับมัน ดังที่คุณเคยทำมาในอดีต

(Note ผู้แปล : พูดง่ายๆคือ เวลาเกิดภาวะตกต่ำ อย่าไปพยายามหาว่าทำอะไรผิด แต่ให้คิดว่า เราเคยทำอะไรถูก ถนัดอะไรแทน แล้วก็กลับมาทำในสิ่งเหล่านั้นแทนจนกว่าจะผ่านพ้นภาวะตกต่ำนั้นไป)
-------------- แปลโดย Rojer CmFX, www.ChiangMaiFX.com,  จบ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มาทำงานทางInternetกัน